ปริทัศน์ภาพยนตร์

บุพเพสันนิวาส ๒ (2565)

7.5
product-image

บุพเพสันนิวาส ๒ (2565)

หนังเรื่องนี้ทำให้คุณยิ้มได้
  • เคมีพระนางดูแล้วมีความสุข มุกตลกคุณภาพแบบจีดีเอช หลายประเด็นชูได้น่าสนใจ มีข้อคิดดี ๆ ติดออกจากโรง
เล่าเรื่องเหมือนเสียดายฟุตเทจ
  • ภาพยนตร์ยาวมาก มีซีนเวิ่นเว้อเต็มไปหมด พาร์ทประวัติศาสตร์และการเมืองไม่เข้มข้น หลายตัวละครไม่น่าจดจำ

ผู้เขียนได้ดูเรื่องนี้ตั้งแต่วันที่ 2 ที่ภาพยนตร์เข้าฉายแต่เพิ่งได้มีเวลามาเขียนรีวิว ซึ่งก็ต้องยอมรับว่าสับสนกับตัวเองมากพอสมควร คงต้องมองจาก 2 จุดยืน นั่นคือจากมุมมองของแฟนละครและมุมมองของผู้สอนงานสร้างภาพยนตร์ที่ค่อนข้างขัดแย้งกัน

ในมุมมองของแฟนละคร บุพเพสันนิวาส ๒ คือภาคต่อที่ดึงเอาองค์ประกอบที่เคยประสบความสำเร็จเมื่อ 4 ปีก่อนจากละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส มาต่อยอดและขยี้เพื่อเอาใจแฟนละครที่เคยชื่นชอบกันมา เป็นภาพยนตร์แบบที่เราเรียกกันว่าหนังแฟนเซอร์วิส (ถ้านึกไม่ออกให้นึกถึง Avengers: Endgame หรือ Spider-Man: No Way Home) โดยเฉพาะการบริหารเคมีพระนางภายใต้แนวภาพยนตร์แบบโรแมนติก-คอมเมดี้ ที่ยังคงกลิ่นอายของความสัมพันธ์ที่เราเคยฟินจิกจนหมอนฉีกเมื่อหลายปีก่อน แม้บุคลิกตัวละครจะได้รับการปรับปรุงใหม่ จากพี่หมื่นที่เข้ม นิ่ง ดุ และจริงจัง กลายเป็นภพที่ขี้เล่นและเปิดเผยมากขึ้น ซึ่งถือว่าตัวละครพลิกบทบาทจากของเดิมมาก ส่วนนางเอกจากเกศสุรางค์ผู้หลงยุคที่เก่ง ฉลาด เห็นแก่ความถูกต้อง ทำอะไรไม่คิดหน้าคิดหลัง (เพราะใช้วิธีคิดแบบปัจจุบัน) ตื่นเต้นกับทุกอย่างที่เจอ กลายเป็นเกสรที่เป็นสาวสมัยใหม่ของยุค ยังคงความเก่ง ฉลาด แต่นิ่งและถือตัวมากขึ้น เป็นสตรียุคต้นรัตนโกสินทร์เต็มตัว ตัวเกสรถือว่ายังคงมีเค้าเดิมของเกศสุรางค์อยู่ บุคลิกที่ไม่ขาดจากเดิมมากนักของนางเอก ช่วยให้แฟนละครได้เชื่อมโยงไปยังตัวละครที่คุ้นเคยได้เป็นอย่างดี เราได้เห็นภพที่ตามจีบเกสรแบบทุ่มสุดตัวและเปิดเผย ไม่ใช่จอมซึนแบบในละคร เห็นความสัมพันธ์ที่ถูกพัฒนาขึ้นอย่างรวดเร็ว ซึ่งก็เหมาะดีกับภาพยนตร์ที่มีเวลาเล่าเรื่องจำกัด

เมื่อมานั่งพิจารณาให้ถ้วนถี่ก็พบว่า จริง ๆ แล้วผู้สร้างภาพยนตร์เรื่องนี้น่าจะพยายามออกแบบมาให้แม้แต่คนที่ไม่เคยดูละครภาคต้นมาก่อนเลย ก็ดูรู้เรื่องและสนุกไปกับภาพยนตร์ได้ แต่ถ้าเคยดูละครมาก่อนก็จะยิ่งอินเพราะเชื่อมโยงกับองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เคยชื่นชอบจากละครภาคแรก ทว่าในอีกส่วนหนึ่ง จุดเด่นของละครเรื่อง บุพเพสันนิวาส คือเรื่องราวในแง่ประวัติศาสตร์และการเมืองแสนเข้มข้นที่เล่าผ่านชุดตัวละครสำคัญที่มีตัวตนอยู่จริงในอดีต ซึ่งในภาพยนตร์เรื่องนี้ถือว่ายังทำได้ต่ำกว่ามาตรฐานที่เคยประสบความสำเร็จมาก่อน เป็นเส้นเรื่องรองที่ประเด็นอ่อนกว่าเดิมมากและวิธีเล่าไม่เข้มแข็งพอ ตัวละครทางประวัติศาสตร์หลายตัวถูกเล่าอย่างไร้มิติหรือไม่ก็กลายเป็นตัวโจ้กของเรื่องไปเลย ทั้ง ๆ ที่ภาพยนตร์เองก็ยาวมาก แต่ไม่ได้แบ่งเวลามาพัฒนาตัวละครและเนื้อเรื่องส่วนนี้ให้มากเพียงพอ เพราะไปให้ความสำคัญกับการตามจีบกันของพระนางเสียมาก จึงไม่ได้รู้สึกตื่นเต้นหรือตื่นตาเหมือนกับที่ละครโทรทัศน์เคยทำเอาไว้ เพราะความประทับใจไม่มากเท่าที่ควร

ในมุมมองของผู้สอนงานสร้างภาพยนตร์ เราคงต้องร่ายยาวกันไปในแต่ละองค์ประกอบ เพื่อถอดบทเรียนที่นักทำหนังจะสามารถเรียนรู้ได้จากภาพยนตร์เรื่องนี้ ในส่วนแรกคงต้องพูดถึงความยาวของภาพยนตร์ที่ยาวมาก เกินมาตรฐานภาพยนตร์ทั่วไป และโดยเฉพาะภาพยนตร์แบบโรแมนติก-คอมเมดี้ ยาวจนเหมือนผู้กำกับและนักตัดต่อเสียดายฟุตเทจที่ถ่ายมาจนไม่กล้าทิ้งอะไรสักอย่าง ในความตั้งใจที่เราเห็นคือการใช้เวลาของภาพยนตร์ส่วนมากไปกับคู่พระนาง พยายามขยี้ให้ผู้ชมได้ฟินกับเรื่องความรักจนเกินพอดี กลายเป็นความดาษดื่นที่ทำให้ภาพยนตร์ขาดความสมดุล แทนที่จะใช้เวลาที่มีมากมายไปให้น้ำหนักกับเนื้อเรื่องในส่วนของประวัติศาสตร์และการเมืองของยุคสมัยที่น่าจะทำให้ภาพยนตร์มีความน่าสนใจและขับเน้นความใคร่รู้ของผู้ชมไปได้ตลอดเรื่อง ส่วนต่อมาคือตัวละครใหม่อย่างเมธัส ที่ถูกเลือกเป็นตัวละครที่ใช้เปิดเรื่อง ทว่าเมธัสเป็นตัวละครที่ถูกเขียนมาให้เป็นตัวสมทบ การที่ภาพยนตร์เลือกเปิดเรื่องด้วยตัวละครนี้แล้วเว้นช่วงยาว ๆ กว่าจะโผล่มาอีกที ทำให้ภาพยนตร์หลุดโฟกัสไปจากตัวละครหลัก ลดความอิมแพ็คจากการเปิดเรื่อง และลดมิติของตัวละครให้ไม่น่าสนใจเท่าที่ควร เพราะถ้าเล่าเรื่องสมัยรัชกาลที่ 3 ตั้งแต่ต้นเรื่อง แล้วให้เมธัสปรากฏตัวออกมาอย่างลึกลับ ไม่รู้ที่มาที่ไป เวลาเปิดเผยเรื่องราวคงตื่นเต้นกว่า

อย่างที่กล่าวไปแล้วว่า บทในส่วนของประวัติศาสตร์และการเมืองค่อนข้างอ่อนเมื่อเทียบกับที่ละครเคยทำได้ ผู้เขียนเองรู้สึกไม่ค่อยชอบใจกับส่วนนี้เท่าไหร่ ทั้งที่ประเด็นไม่ได้เข้มข้นหรือลึกลับซับซ้อนมาก แต่กลับเล่าได้ไร้มิติ กลายเป็นเนื้อเรื่องที่แค่ใส่มาให้มี ตัวร้ายหลักอยู่ดี ๆ ก็ถูกเปิดเผยต่อผู้ชมแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ไม่ได้มีซีนที่พยายามบอกใบ้หรือทำให้ผู้ชมเกิดความสงสัยในตัวละครนั้นเลย ทำให้ส่วนตัวผู้เขียนรู้สึกอิหยังวะขึ้นมา ตัวร้ายใส่หน้ากากก็เป็นตัวละครอีกตัวที่ผู้เขียนแอบผิดหวัง เพราะถูกปูมาได้ดีและทั้ง ๆ ที่ยังสามารถสร้างให้ตัวละครนี้มีความลึกลับได้มากกว่านั้นอีก แต่กลายเป็นโป๊ะแตกเมื่อตัวละครนี้ดันพูดขึ้นมากลางเรื่อง ทำให้ผู้ชมอย่างเราพอคาดเดาลักษณะของตัวละครได้ทันที แทนที่จะปล่อยให้ผู้ชมได้สงสัยไปตลอดเรื่องและเปิดเผยเมื่อถึงเวลาคงพีคกว่านี้

ตลอดเนื้อเรื่องของภาพยนตร์เต็มไปด้วยความไม่กระชับและเยิ่นเย้อ อย่างซีนรับเชิญของแจ็คในบทครูละครนอกที่ไม่แน่ใจว่าใส่มาทำไมทั้ง ๆ ที่ไม่มีความจำเป็นต่อเนื้อเรื่องแม้แต่น้อย หรือซีนไคลแมกซ์บนเรือช่วงท้ายเรื่อง ผู้เขียนก็รู้สึกเหมือนดูแมวจับหนู ไร้ความกระชับ ไล่กันวนไปวนมาจนเริ่มน่าเบื่อ แต่ก็ยังถือว่าจบซีนได้ดีในที่สุด สรุปแล้วหากกล่าวว่านี่คือละครในคราบของภาพยนตร์ก็คงไม่ผิดนัก ซึ่งน่าเสียดายที่หากผู้สร้างภาพยนตร์จริงใจที่จะเล่าเรื่องนี้แบบภาพยนตร์อย่างแท้จริง เราคงได้ภาพยนตร์ไทยที่สมบูรณ์และเป็นที่จดจำในวงการอีกเรื่องหนึ่ง

ร่ายจุดอ่อนของเรื่องเสียยืดยาว ก็ใช่ว่าภาพยนตร์เรื่องนี้จะไม่มีข้อดีเลย อย่างหนึ่งที่ต้องยอมรับคือเคมีความกุ๊กกิ๊กของพระนางที่พาให้ดูไปยิ้มไป ยิ่งช่วงที่มีเมธัสเข้ามาสบทบซึ่งส่งผลให้การเล่าเรื่องความสัมพันธ์รวดเร็วกระชับขึ้นอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำให้ช่วงดังกล่าวดูได้อย่างเพลิดเพลินและมีความสุข บทในส่วนของพระเอกที่ฝันถึงนางเอกในชาติก่อน ฟังคอนเซ็ปท์ทีแรกอาจจะไม่ได้น่าสนใจมากนัก แต่พอมีการชูประเด็นว่าคนที่พระเอกหลงรักคือเกสรจริง ๆ หรือเกศสุรางค์ที่เขาฝันถึงตลอดกันแน่ จุดนี้ผู้เขียนเซอร์ไพรส์มาก เพราะเป็นประเด็นที่น่าสนใจ สร้างมิติทางความสัมพันธ์ให้ลุ่มลึกขึ้น ในส่วนของการแสดง นักแสดงทุกคนของเรื่องทำได้ดีหมด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคู่พระนาง คุณโป๊บที่ฉีกภาพจำจากละครเป็นอีกคนได้อย่างสมบูรณ์และในซีนย้อนอดีตก็ยังคงสามารถเป็นพี่หมื่นที่คนดูคุ้นเคยได้ ส่วนเบลล่าก็ยังคงแสดงได้น่าเอ็นดูเหมือนในละคร ติดตรงที่บทบาทอาจไม่ค่อยขาดจากตัวละครเดิมเท่าไหร่นัก ทำให้ผู้ชมอาจสับสนโดยเฉพาะซีนฝันช่วงท้ายเรื่อง มุกตลกในเรื่องนี้คงต้องกล่าวว่าได้มาตรฐานจีดีเอชที่ไม่เคยทำให้ผิดหวัง ถือว่าเป็นภาพยนตร์ที่ชมได้อย่างมีความสุข (ถ้าดูแบบไม่คิดมากอ่ะนะ)

ทั้งหมดนี้คือบทปริทัศน์ตามทัศนะของผู้เขียนที่เก็บมาจากการชมภาพยนตร์เรื่องนี้เพียง 1 รอบถ้วน ผู้อ่านอาจมีความคิดเห็นที่แตกต่างจากผู้เขียนได้ ภาพยนตร์เรื่องนี้เป็นภาพยนตร์ที่ดูแล้วยิ้มได้ ออกจากโรงอย่างมีความสุข ได้ย้อนระลึกถึงละครที่พวกเราชื่นชอบ และได้เตรียมตัวก่อนชมภาคต่ออย่าง พรหมลิขิต ในอนาคตอันใกล้ อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ภาพยนตร์เรื่องนี้มีความเป็นแฟนเซอร์วิสสูงทำให้ต้องพึ่งพาพลังของแฟนละครอยู่มาก หากภาพยนตร์เรื่องนี้เล่าเรื่องกระชับกว่านี้ ให้เวลากับเส้นเรื่องประวัติศาสตร์และการเมืองมากขึ้น หรือปรับการเล่าเรื่องให้คมคายกว่าเดิม คงไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่านี่อาจกลายเป็นภาพยนตร์ไทยอีกเรื่องที่เราเลือกจะชมซ้ำได้ไม่มีเบื่อ และน่าจะทำให้ตัวภาพยนตร์สามารถยืนโรงฉายได้นานและทำรายได้มากขึ้นในระยะยาว

Pichaet Tang-on
มนุษย์ครู วิทยากร นักเขียน ทาสแมว และบล็อกเกอร์

Comments are closed.